ตีแผ่ความจริง ลดน้ำหนักสูตรโลคาร์บ ( Low-Carb )

เชื่อว่าหลายคนที่กำลังอยากลดน้ำหนักอยู่นั้น ต้องเคยได้ยินสูตรลดน้ำหนักที่ชื่อว่า โลคาร์บ ( Low Carb ) มาบ้างแน่นอน หรืออาจจะเคยได้ยินเป็นชื่อว่า ลดน้ำหนักสูตรแอทกิ้นส์ (Atkins Diet) ซึ่งใจความสำคัญของมันก็คือ การลดจำนวนคาร์โบไฮเดรตในแต่ละมื้อให้น้อยลง แต่เมื่อมีคนนำสูตรนี้ไปบอกต่อ หลายคนดันกลับใช้คำว่า งดแป้ง หรืองดคาร์โบไฮเดรต (ซึ่งเจ้าของสูตรบอกว่าให้ลด ไม่ใช่งดนะครับ เพราะคำว่า Low Carb คือ การทำให้ร่างกายได้รับคาร์โบไฮเดรตในระดับต่ำนั้นเอง)

สรุปแล้วการลดน้ำหนักด้วยการงดอาหารประเภทแป้ง, คาร์โบไฮเดรต เนี่ย มันจะสามารถลดน้ำหนักได้จริงเหรอ หลังจากลดน้ำหนักแล้วจะกลับมาอ้วนอีกไหม หรือว่าถ้าลดน้ำหนักได้แล้วหน้าตาจะโทรม ผิวพรรณจะดูหมองคล้ำหรือเปล่า เชื่อว่าคงเป็นคำถามคาใจของคนที่กำลังอยากลดน้ำหนักอยู่แน่นอน วันนี้ผมจะมาไขข้อข้องใจรวมถึงตีแผ่ความจริงของสูตรลดน้ำหนักอันนี้ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ จะได้ไม่ต้องเอาไปใช้แบบผิดๆ รวมถึงบอกต่อแบบผิดๆ อีกด้วย


ทำไมเขาถึงฮิตกันจังกับวิธีลดน้ำหนักด้วยสูตรโลคาร์บ ( Low Carb )

แนวคิดการลดแป้งและอาหารประเภทที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงๆ เพื่อลดน้ำหนักนั้นมีมานานแล้วครับ ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะคิดได้กันในช่วงปีนี้ แต่การนำไปใช้จริง รวมถึงรายละเอียดของการปฏิบัตินั้น หลายคนหลายสำนัก ต่างก็แต่งแต้มเติมน้ำกันจนเละ ยิ่งบางคนฟังเขามาแต่ไม่เคยทำไม่เคยลองก็พูดผิดพูดถูกจนไม่รู้ว่าอะไรของจริงอะไรของปลอมกันแน่

เดิมทีแนวคิดนี้คือการควบคุมปริมาณคาร์โบไฮเดรตในแต่ละมื้อ ให้ร่างกายได้รับในปริมาณที่น้อยแต่ไม่ถึงกับขาดแคลน โดยให้เน้นการกินคาร์โบไฮเดรตจากแหล่งอาหารอื่นๆ ที่ไม่ใด้มาจากข้าว หรือขนมปัง ซึ่งหลายคนอาจไม่รู้มาก่อนว่า ในผักและผลไม้ที่เรากินอยู่ทุกวันนี้มันก็มีคาร์โบไฮเดรตซึ่งร่างกายสามารถนำไปใช้ทดแทนคาร์โบไฮเดรตจากข้าวหรือขนมปังได้เหมือนกัน

โดยปกติเมื่อร่างกายได้รับคาร์โบไฮเดรต ร่างกายจะเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรตเป็นน้ำตาล และน้ำตาลเหล่านั้นจะไปเป็นพลังงานให้กับร่างกายในแต่ละวัน หากพลังงานที่ได้มามีเหลือในแต่ละวัน พลังงานเหล่านั้นจะถูกเปลี่ยนรูปแบบกลายเป็นไขมันสะสม (เผื่อร่างกายจะเกิดภาวะที่ขาดแคลนพลังงาน) ไว้ตามต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง สะโพก ฯลฯ

แต่เนื่องจากคนไทยนั้นอาหารจานหลักคือข้าว หรือบางคนอาจจะชอบกินขนมปังมากๆ ซึ่งข้าวและขนมปังจะมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่สูงกว่าผักและผลไม้ ทำให้คนไทยส่วนมากไม่เคยเกิดภาวะขาดคาร์โบไฮเดรตเลย (เพราะเรากินข้าวหรืออาหารที่ทำจากแป้งเกือบทุกมื้อ) ด้วยหลักการง่ายๆ ที่ว่า ผู้ชายทั่วไปต้องใช้พลังงาน 1,500 - 2,000 กิโลแคลอรี่ต่อวัน ในขณะที่ผู้หญิงต้องการพลังงาน 1,200 - 1,500 กิโลแคลอรี่ต่อวัน (ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับอายุ เพศ และกิจกรรมที่ทำในแต่ละวัน) เมื่อร่างกายได้รับสารอาหารคาร์โบไฮเดรตจากผักและผลไม้แล้ว แต่พลังงานที่ได้รับมีน้อยกว่าข้าวหรือขนมปัง ทำให้พลังงานโดยรวมทั้งหมดในแต่ละวันไม่เพียงพอตามที่ร่างกายต้องการ ร่างกายจึงไปดึงเอาไขมันส่วนเกินมาเผาผลาญ เพื่อเป็นพลังงานให้กับร่างกาย ร่างกายของพวกเขาจึงค่อยๆ ผอมลงนั้นเอง

แล้วลดน้ำหนักแบบโลคาร์บ (Low Carb) จะมีผลเสียต่อร่างกายไหม

โลกนี้ไม่มีอะไรดีพร้อมทุกอย่าง ทุกอย่างมีข้อดีและข้อเสียในตัวมันเองเสมอ การลดน้ำหนักก็เหมือนกันไม่ว่าจะเป็นการลดน้ำหนักด้วยการออกกำลังกาย, กินอาหารเสริม หรือสูตรลดน้ำหนักสารพัดสูตรเผยแพร่กันเกลื่อนเมือง หรือแม้แต่สูตรลดน้ำหนักแบบโลคาร์บนี้ก็เช่นเดียวกัน ข้อเสียหรือข้อพึงระวังหากจะนำวิธีลดน้ำหนักแบบโลคาร์บไปใช้นั้นมาจากการที่คุณไม่สามารถควบคุมปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่กินเข้าไปให้ได้ตามปริมาณที่ร่างกายต้องการ หรือเรียกง่ายๆ ว่า การที่คุณจะสามารถกะจำนวนคาร์โบไฮเดรตที่ควรจะได้รับในแต่ละวันด้วยตัวเองนั้น ทำได้ยากมาก!

สรุป.. กินคาร์โบไฮเดรตมากไปไม่ดี เพราะจะทำให้อ้วน แต่ถ้ากินน้อยเกินไปก็ไม่ดีในระยะยาว ต้องกินให้เป๊ะ!... พูดง่ายแต่ทำโคตระยากในชีวิตความเป็นจริง

ลดน้ำหนักด้วยสูตรโลคาร์บจะทำให้น้ำหนักลดลงได้เร็วกว่าวิธีอื่นจริงเหรอ?

"ถ้าอยากผอมก็แค่ไม่กินแป้ง ไม่กินน้ำตาล แค่นี้เอง ไม่นานก็ผอม" คำพูดนี้ผมเคยได้ยินมาจากบรรดากูรู หรือ กูรู้ ด้านการลดน้ำหนักที่พูดกันโฉ่งฉางในโลกออนไลน์ ผมฟังแล้วอดสงสารแทนคนอ้วนที่อยากลดน้ำหนักที่ใจยังอ่อนด้อยประสบการ์ณไม่ได้ เพราะเชื่อได้เลยว่าพอพวกเขาฟังแบบนี้ พวกเขาจะเริ่มอดข้าว อดอาหารประเภทเส้นๆ แป้งๆ ทันที! ประเภทหักดิบเหมือนไปเลิกยาที่ถ้ำกระบอกยังไงยังงั้น นี่ถ้ามันอ๊วกออกมาเป็นแป้งที่เคยกินเข้าไปเมื่อหลายสิบมื้อย้อนหลังได้ เขาคงจะอ๊วกออกมาด้วยความเต็มใจไปแล้ว!

ด้วยความที่อยากผอม อยากหุ่นดีเร็วๆ โดยไม่ได้เข้าใจร่างกายตัวเองอย่างถ่องแท้ เมื่อพวกเขาอดแป้งชนิดหักดิบ ถึงขั้นไม่กินแป้งสักกะนิดเดียวเลยในแต่ละวัน แต่ปัญหาที่พวกเขาไม่รู้หรืออาจจะไม่ใส่ใจก็คือพวกเขาไม่ได้กินคาร์โบไฮเดรตที่ได้จากผักหรือผลไม้ไปทดแทน พวกเขากลับเลือกวิธีการงดคาร์โบไฮเดรต ไม่ใช่การลดคาร์โบไฮเดรต นั้นเอง คนที่ลดน้ำหนักโดยการงด หรือ อดข้าวหรืออาหารที่เป็นแป้ง แล้วไม่กินผักหรือผลไม้ที่มีคาร์โบไฮเดรตทดแทนนั้น พวกนี้จะสามารถลดน้ำหนักได้จริงในช่วงแรกเท่านั้นครับ (ประมาณ 1-2 สัปดาห์แรกหลังจากเริ่มหักดิบ) จากนั้นน้ำหนักตัวจะเริ่มนิ่ง เรียกได้ว่าแทบจะไม่ลดอีกเลย แต่สิ่งที่ตามมาก็คือ พวกเขาจะเริ่มเกิดอาการอ่อนเพลีย ไม่มีแรง สมองเริ่มไม่สั่งงาน เบลอๆ เหมือนคนไม่มีแรง ฯลฯ

ในที่สุดร่างกายและจิตใจของพวกเขาก็หมดความอดทน (เพราะมันเป็นการลดน้ำหนักที่โคตรจะฝืนธรรมชาติ) และสุดท้ายก็ต้องหวลกลับไปกินอาหารเหมือนเดิม (เผลอๆ จะกลับไปกินเยอะกว่าตอนก่อนเริ่มลดน้ำหนักอีก) การลดน้ำหนักด้วยการอดหรืองดคาร์โบไฮเดรตทั้งหมดเลยนั้นเป็นเพียงเทคนิคที่ใช้หลอกร่างกายแบบชั่วคราวเท่านั้นเองนะครับ เพราะเมื่อไหร่ที่ระบบภายในร่างกายของเราเกิดความผิดปกติขึ้น เช่น ร่างกายไม่ได้รับคาร์โบไฮเดรต ซึ่งเป็นสารอาหาร 1 ใน 5 หมวดที่ร่างกายต้องใช้ ร่างกายก็จะตอบสนองเพื่อความอยู่รอด หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ร่างกายของคุณมันก็กลัวตายเช่นกัน มันก็เลยเกิดภาวะป้องกันตัวเองจากการอดตาย

โดยสิ่งที่ระบบภายในร่างกายของเราจะทำเพื่อป้องกันตัวเองจากการขาดสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตก็คือ ร่างกายก็จะไปนำคาร์โบไฮเดรตที่อยู่ในรูปของไกลโคเจน ซึ่งมันจะอยู่ตามกล้ามเนื้อและไตของเรามาใช้ทดแทนไปก่อน!!! ดังนั้นคนที่ใช้สูตรลดน้ำหนักแบบโลคาร์บแบบผิดๆ คุณกำลังมีความเสี่ยงที่จะทำให้ไตของคุณทำงานหนักและเสื่อมก่อนวัยอันควรนะครับ!!!

ตีแผ่หลักการลดน้ำหนักตามแบบฉบับโลคาร์บ เขาทำกันยังไง?
คนปกติทั่วไปต้องการคาร์โบไฮเดรตประมาณ 300 กรัมต่อวัน ดังนั้นการลดน้ำหนักด้วยสูตรโลคาร์บนั้น เวลาจะนำไปใช้จะแบ่งออกเป็น 4 ช่วงเวลาดังนี้

ช่วงที่ 1

ในช่วง 2 สัปดาห์แรกที่เริ่มลดน้ำหนัก ให้เน้นการกินอาหารประเภทโปรตีนและไขมันเป็นหลัก โดยเน้นลดอาหารพวกแป้งให้เหลือน้อยที่สุด คือปริมาณไม่เกิน 5 - 10 กรัมต่ออาหารมื้อนั้นๆ ย้ำนะครับว่า คุณยังต้องกินอาหารพวกแป้ง แต่กินไม่เกิน 5-10 กรัม ตรงนี้คือจุดที่ยากในการวัดตวงจำนวนคาร์โบไฮเดรต ผมแนะนำว่าค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปไม่ต้องกดดันตัวเอง อาจจะเริ่มต้นจากลดจำนวนข้าวสวย 1 ทัพพีให้เหลือเพียง 2 - 3 ช้อนโต๊ะ ที่เหลือให้เน้นกินโปรตีนให้มาก ทั้งโปรตีนจากนม ถั่ว และปลา ซึ่งโปรตีนจากเนื้อปลาจะดีกว่าโปรตีนที่มาจากเนื้อสัตว์อย่างหมู, ไก่ หรือเนื้ออื่นๆ มาก ที่เหลือให้คุณทานผักให้มาก ทั้งผักใบเขียว, เหลือง, ส้ม, แดง และม่วง และผลไม้ต่างๆ โดยในช่วง 2 สัปดาห์นี้น้ำหนักตัวของคุณจะค่อยๆ เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ไม่มากก็น้อย ขอให้ชั่งน้ำหนักและจดบันทึกเอาไว้ให้ดี

ช่วงที่ 2

พอเข้าสัปดาห์ที่ 3 ค่อยๆ เริ่มปรับมากินอาหารพวกแป้งได้มากขึ้น แต่ให้เพิ่มทีละน้อย โดยค่อยๆ โดยกะว่าให้ร่างกายได้รับคาร์โบไฮเดรตประมาณ 25 กรัมต่อวัน พอเข้าช่วงสัปดาห์ที่ 4 เป็นต้นไปก็ให้กินคาร์โบไฮเดรตให้ได้ 30 - 35 กรัมต่อวัน (ย้ำว่าต่อวัน ไม่ใช่ต่อมื้อนะครับ!!!) ทำแบบนี้ยาวนานไปเรื่อยๆ จนคุณรู้สึกว่าน้ำหนักตัวของคุณเริ่มไม่ลดลงอีกต่อไป (กินน้อยแค่ไหนก็ไม่ลงไปกว่านี้แล้ว)

ถ้าถึงจุดที่กินน้อยแค่ไหน น้ำหนักก็ไม่เปลี่ยนแปลงเลย ให้คุณเริ่มลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตต่อวันลง 5 กรัม แล้วลองสังเกตดูสัก 1 สัปดาห์ ถ้าน้ำหนักยังลงต่อเนื่องก็กินคาร์โบไฮเดรตในปริมาณแค่นี้ไปเรื่อยๆ จนน้ำหนักตัวลดลงเรื่อยๆ จนถึงจุดที่คุณพอใจแล้ว ทั้งนี้จำนวนคาร์โบไฮเดรตที่คุณจะกินเข้าไปนั้น ไม่ควรต่ำกว่า 5 - 10 กรัมต่อมื้ออาหาร ถ้าปรับลดลงมาจนถึงระดับ 5 กรัมต่อมื้อแล้วน้ำหนักก็ยังไม่ลด ก็ไม่ต้องปรับลดลงอีกนะครับ แสดงว่าร่างกายของคุณมาถึงจุดที่สุดของการลดน้ำหนักแล้ว

ช่วงที่ 3

จะเป็นการรักษาระดับน้ำหนักตัวให้คงที่ โดยการกินคาร์โบไฮเดรตเพิ่มขึ้น 10 กรัมต่อสัปดาห์ (ต่อสัปดาห์นะครับ ดังนั้นอย่าลืมเอาไปเฉลี่ยๆ เป็นรายวันด้วย) จนน้ำหนักตัวคงที่ไม่เพิ่มตามจำนวนคาร์โบไฮเดรตที่กินเพิ่มเข้าไป

ช่วงที่ 4

ขั้นตอนสุดท้ายนี้เราจะสามารถกินอาหารได้หลากหลายโดยที่น้ำหนักไม่กลับมาอ้วนอีก แต่เราจะต้องควบคุมระดับปริมาณการกินคาร์โบไฮเดรตในแต่ละมื้อหรือแต่ละวันเพื่อให้น้ำหนักตัวคงที่ตลอดไป

การกินแบบนี้อาจมีปัญหากับบางคน เนื่องจากตลอดระยะเวลาการลดน้ำหนักแบบโลคาร์บนั้น ไตจะต้องทำงานหนักในการขับของเสียออกจากร่างกาย ร่างกายจะมีกรดยูริกสูงเกินไป ทำให้คนที่มีอาการโรคเก๊าท์อาจจะไม่เหมาะที่จะลดน้ำหนักด้วยวิธีโลคาร์บเพราะจะทำให้โรคกำเริบได้นั้นเอง


ตีแผ่ความจริง ลดน้ำหนักสูตรโลคาร์บ ( Low-Carb )

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์