รู้ทันไขมันพอกตับ โรคเงียบที่อันตราย ออกกำลังกายช่วยได้อย่างไร?


รู้ทันไขมันพอกตับ โรคเงียบที่อันตราย ออกกำลังกายช่วยได้อย่างไร?


"ไขมันพอกตับ" หรือ Fatty Liver คือภาวะที่เซลล์ตับมีการสะสมของไขมันไตรกลีเซอไรด์ (TG) มากผิดปกติ ซึ่งอาจดูเหมือนไม่มีอาการชัดเจนในช่วงแรก แต่หากปล่อยไว้นานโดยไม่จัดการ อาจลุกลามสู่โรคตับอักเสบ ตับแข็ง หรือแม้แต่มะเร็งตับในระยะยาวได้

ไขมันพอกตับเกิดจากอะไร?

ไขมันพอกตับมีอยู่ 2 ประเภทหลักๆ ได้แก่:

ชนิดที่เกิดจากแอลกอฮอล์ (Alcoholic Fatty Liver Disease)

ชนิดที่ไม่เกี่ยวกับแอลกอฮอล์ แต่เกิดจากความผิดปกติของการเผาผลาญ หรือที่เรียกว่า MASLD (Metabolic dysfunction-associated steatotic liver disease) ซึ่งเป็นชนิดที่พบได้บ่อยมากขึ้นในคนยุคใหม่

โดย MASLD มักมีต้นเหตุดังนี้:

ร่างกายรับไขมันมากเกิน: ทั้งจากอาหารที่มีไขมันสูง หรือคาร์โบไฮเดรตส่วนเกินที่แปรรูปเป็นไขมัน

ภาวะอ้วน: ทำให้เซลล์ไขมันมี TG มาก และส่งต่อมายังตับ

ภาวะดื้ออินซูลิน: กระตุ้นให้เซลล์ไขมันสลาย TG ออกมามาก และลดประสิทธิภาพการจัดการไขมันของตับ

พฤติกรรมการกินถี่ ไม่เว้นระยะอดอาหาร: ขาดช่วงเวลาที่ร่างกายสามารถสลายไขมันได้

ไม่ออกกำลังกาย: ร่างกายจึงไม่เร่งการใช้พลังงาน

พันธุกรรมบางชนิด: ส่งผลให้สร้าง TG มากขึ้น และส่งออกได้น้อยลง

 กลไกการสะสมและสลายไขมันในตับ

เมื่อตับรับไขมันเกิน ร่างกายจะเก็บ TG ไว้ใน "Lipid droplet" หรือคลังไขมันเล็กๆ ในเซลล์ตับ

ร่างกายมี 2 ทางเลือกในการสลาย TG:

สลายทีละโมเลกุลด้วยเอนไซม์

ใช้กลไก Lipophagy - คือการนำคลังไขมันเหล่านี้ไปย่อยในถุงน้ำย่อย (lysosome) เพื่อสลายเป็นพลังงานอย่างรวดเร็ว

แล้ว "การออกกำลังกาย" ช่วยได้อย่างไร?

การออกกำลังกายไม่ใช่แค่ช่วยลดน้ำหนัก แต่ยังช่วย "กระตุ้น" ให้ตับเริ่มกระบวนการกำจัดไขมันที่สะสมอยู่ ด้วยกลไกที่เรียกว่า Lipophagy

เมื่อออกกำลังกาย ตับจะใช้พลังงาน (ATP) มากขึ้นเพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือด

เมื่อพลังงานลดต่ำ เซลล์จะตรวจจับได้ว่า "พลังงานไม่พอ"

ร่างกายจึงสั่งเปิดโหมดประหยัดพลังงาน โดยไปดึงไขมันจากคลัง (Lipid droplet) มาใช้

กลไกนี้ช่วยให้ไขมันในตับถูกนำมาใช้งาน และลดการสะสมลง

นอกจากนี้ การออกกำลังกายยังช่วยจัดการ "ต้นเหตุ" ของไขมันพอกตับ เช่น:

ลดน้ำหนัก ลดไขมันสะสมในร่างกาย

เพิ่มความไวของอินซูลิน ลดภาวะดื้ออินซูลิน

ดูแลตัวเองอย่างไรให้ตับปลอดไขมัน?

ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: อย่างน้อย 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ เน้นแบบแอโรบิกหรือเวทเทรนนิ่ง

เพิ่มช่วงเว้นอาหาร (Intermittent Fasting): ช่วยให้ร่างกายมีโอกาสเข้าสู่โหมดการเผาผลาญไขมัน

ควบคุมอาหาร: หลีกเลี่ยงน้ำตาลสูง โดยเฉพาะน้ำเชื่อม high fructose corn syrup

จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์: โดยเฉพาะถ้าเริ่มมีภาวะไขมันพอกตับแล้ว ควรงดเพื่อฟื้นฟูตับ

พักผ่อนให้เพียงพอ และลดความเครียด: เพราะส่งผลต่อสมดุลฮอร์โมนที่ควบคุมการเผาผลาญ

ตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ: เพื่อเช็กค่าตับและระดับน้ำตาล หากมีไวรัสตับอักเสบ B หรือ C ต้องติดตามอาการอย่างใกล้ชิด


สรุป:

ไขมันพอกตับไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์เสมอไป แต่อาจเกิดจากการกินเกิน ไม่ออกกำลัง ภาวะอ้วน และพันธุกรรม

การออกกำลังกายช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันในตับ ผ่านกลไก Lipophagy

การดูแลสุขภาพแบบองค์รวม คือทางรอดที่แท้จริง

หากวันนี้คุณยังไม่รู้ว่าตับของตัวเองมีไขมันหรือไม่ ก็อย่ารอให้สายไป - ลุกขึ้นมาเปลี่ยนพฤติกรรม ก่อนที่ตับจะฟ้องด้วยโรคร้ายในอนาคต.


เครดิต :
เครดิต : ที่นี่ดอทคอม ทันทุกเรื่องฮิต


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์